รู้หรือไม่? ช่วงเวลาของวันมีผลกระทบกับ Productivity ของคุณด้วย!
การทำงานนานๆติดต่อกันหลายชั่วโมงจริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นเครื่องการันตีถึงศักยภาพของการทำงานนั้นๆเลย ถ้าหากเราเลือกทำงานที่ถูกต้องในช่วงเวลาที่เหมาะสมของงานนั้นๆ จะทำให้ใน 1 วันของเราทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด แต่งานไหนควรทำในช่วงไหนล่ะ นี่สิคำถามสำคัญที่วันนี้ Bookpacker จะมาช่วยไขคำตอบให้เพื่อนๆได้ลองนำไปปรับใช้กันดู
มีงานวิจัยออกมาว่าร่างกายของเราจะทำงานเป็นรอบๆ ซึ่ง “แต่ละรอบจะกินเวลาประมาณ 90-120 นาที” ซึ่งในช่วงเวลานี้จะมีช่วงที่เราแสดงศักยภาพการทำงานได้ตั้งแต่ต่ำสุดไปจนถึงสูงสุดได้ แล้วก็จะวนกลับไปใหม่เรื่อยๆ แต่ละรอบเราจะรู้สึกได้ว่าในช่วงเริ่มต้นของรอบนั้นๆเราจะมีพลังและมีสมาธิที่จดจ่อมากกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนจะจบรอบเราจะเริ่มสมาธิหลุดและเริ่มเหนื่อยอ่อนไป
บางคนทำงานกลางวันมีสมาธิมากกว่ากลางคืน แต่บางคนรู้สึกว่าทำสิ่งต่างๆในช่วงกลางคืนได้ดีมาก นั่นเป็นเพราะช่วงเวลาแต่ละช่วงของวันเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ส่งผลถึงศักยภาพการทำงานของเราได้เลย ซึ่งช่วงเวลาแต่ละช่วงนั้นพลังกายและพลังใจของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป
งานวิจัยอันหนึ่งใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลกว่า 2 ปีได้ผลสรุปออกมาว่า จริงๆแล้วช่วงเวลา productive ที่คนส่วนใหญ่ในโลกเป็นเหมือนกัน จะมี “ช่วงพีคที่สุดคือเวลา 11 โมงเช้าและจะสิ้นสุดตอน 4 โมงเย็น” และ “คนกว่า 75% มีพลังมากที่สุดตั้งแต่ 9-11 โมงเช้า” ดังนั้นช่วงเช้านี้เหมาะกับงานที่ต้องคิด วิเคราะห์ หรือที่ต้องโฟกัสมากๆ
แล้วเพื่อนๆลองทายซิว่าช่วงไหนที่ร่างกายของเราจะมีความง่วงมากที่สุด… คำตอบคือ บ่าย 2 ครับ! ไม่แปลกใจเลยเพราะทานข้าวกลางวันมา หนังท้องตึงหนังตาก็ต้องหย่อนเป็นธรรมดา (ซึ่งถ้าหาก office ไหนที่ใจดีให้พนักงานสามารถงีบได้ ช่วงนี้แหละครับที่เหมาะสมที่สุดเลย) เพราะตั้งแต่เที่ยงไปจนถึง 4 โมงเรามีแนวโน้มที่เมื่อถูกรบกวนแล้วจะบ่ายเบี่ยงจากงานได้ง่าย งานที่ทำช่วงนี้จึงควรเป็นงานที่สำคัญรองลงมา หรือไม่ได้ต้องใช้ Critical Thinking มาก อาจจะเป็นการตอบอีเมล์ หรือการประชุม เป็นต้น
และที่น่าตกใจคือเราจะสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ที่สุดได้ในช่วงที่ร่างกายของเราเหนื่อยล้าและอ่อนแอที่สุด เอ๊ะ? ก็เพราะว่าความเหนื่อยนี้จะเป็นตัวปลดล็อคความคิดของเราให้มันได้คิดไปในทางอื่นที่ปกติเราไม่ได้คิด ก็น่าจะสรุปได้ว่าช่วงเย็นๆที่เราใช้ร่างกายและสมองมาตลอดทั้งวัน เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับ Creativity Work นั่นเอง
อีกหนึ่งงานวิจัยของประเทศอังกฤษได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันและยังได้สรุปเพิ่มเติมอีกว่า “ช่วงเช้าของวันอังคาร” จะเป็นช่วงที่เราทำงานได้ดีที่สุดในสัปดาห์นั้นเลยก็ว่าได้ ส่วน “วันที่เราจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพมากที่สุดก็ไม่พ้น Happy Friday! วันศุกร์นั่นเอง” ที่ศักยภาพของคนทั่วทั้งโลกจะลงลดจากวันอื่นๆถึง 20% เลยทีเดียว
จากผลของงานวิจัยดังกล่าว เราอาจจะลองจัดลำดับความสำคัญของงานเราก่อน หากมีงานไหนที่สำคัญและต้องการสมาธิและการจดจ่อมากกว่าปกติก็ลองเอางานเหล่านั้นมาทำในช่วงเช้าของวัน (และพยายามทำให้เสร็จก่อน 11 โมง) แต่งานที่ไม่ต้องใช้สมองในการคิดมาก ก็อาจจะนำมาทำในช่วงบ่ายหรือทำในวันศุกร์แทน ส่วนช่วงไหนที่รู้สึกมีพลังมากแต่ไม่มีสมาธิสักเท่าไรก็อาจจะลองเอาเวลานี้ไปออกกำลังกายดูนะครับ
หลังจากอ่านบทความนี้จบเพื่อนๆลองสังเกตและจดบันทึกการทำงานและช่วงเวลาในแต่ละวันของตัวเอง ลองให้คะแนนความมีสมาธิ พลังงานของตัวเอง และแรงจูงใจ ในช่วงนั้นๆและพิจารณาว่าช่วงไหนที่เราจะมีสมาธิมากกว่าช่วงอื่นๆ หรือช่วงไหนที่สมองเราจะแล่นมากเหมาะสมกับการต้องทำการระดมสมองกับทีม และช่วงไหนที่เราไม่มีสมาธิหรือไม่เหมาะกับการเข้าร่วมประชุม ลองบันทึกสิ่งนี้สัก 1-3 สัปดาห์ รับรองว่าจะรู้ได้เลยว่า pattern หรือรูปแบบในการทำงานของร่างกายเราเป็นอย่างไร และควรทำงานอะไรในช่วงเวลาไหนเพื่อให้เกิดงานที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด หากลองแล้วได้ผลเป็นอย่างไร ลองมาแชร์กันได้นะครับ 🙂